ท่านปรมาจารย์ ฟ้อน ดีสว่าง สุดยอดปรมาจารย์แห่งยุครัตนโกสินทร์
ครั้งหนึ่ง อาจารย์ฟ้อน ท่านเดินทาง ทางเรือ โดยมีลูกศิษย์ พายหัวเรือกับท้ายเรือ ส่วนท่านนั่งตอนกลางเรือ ซึ่งเป็นเรือมีประทุนหลังคา ระหว่างกำลังพายเรืออยู่ กลางแม่น้ำ
ได้ยินเสียงแม่ค้าร้องขายขนมหวาน ท่านเกิดอยากทานขนมหวาน ท่านจึงสั่งให้ลูกศิษย์เรียกแม่ค้า เพื่อเทียบเรือ ท่านจึงร้องถามอยู่ในประทุนเรือว่า "แม่ค้ามีขนมอะไรบ้างจ๊ะ" พูดพลางท่านก็ชะโงกหน้าออกมามอง แม่ค้าไม่ทันมองหน้าท่านจึงตอบว่า "มีหลายอย่างจะ"
แต่พอแม่ค้าเห็นหน้าท่าน(เห็นจมูก) จึงพูดว่า "แหมหน้าตาช่างอัปลักษณ์ ทำพูดเพราะ "
(เนื่องจากอาจารย์ฟ้อนมีลักษณะปากแหว่ง จมูกโหว่จากโรคริดสีดวงจมูกตั้งแต่วัยเยาว์ ) ลูกศิษย์ท่านได้ยินได้ฟังก็ไม่ค่อยพอใจ เหมือนท่านรู้ ท่านยกมือเชิงปราม แล้วหันไปพูดกับแม่ค้าด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า "เป็นแม่ค้าขายของอย่าปากไวกับลูกค้า วันนี้เอ็งไม่ต้องขายแล้ว ตามไปเป็นเมียข้าเถิด ข้าไม่กินแล้วขนมเอ็ง"
(เนื่องจากอาจารย์ฟ้อนมีลักษณะปากแหว่ง จมูกโหว่จากโรคริดสีดวงจมูกตั้งแต่วัยเยาว์ ) ลูกศิษย์ท่านได้ยินได้ฟังก็ไม่ค่อยพอใจ เหมือนท่านรู้ ท่านยกมือเชิงปราม แล้วหันไปพูดกับแม่ค้าด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า "เป็นแม่ค้าขายของอย่าปากไวกับลูกค้า วันนี้เอ็งไม่ต้องขายแล้ว ตามไปเป็นเมียข้าเถิด ข้าไม่กินแล้วขนมเอ็ง"
ท่านพูดเสร็จ ก็หันมาสั่งให้ออกเรือ เดินทางกันต่อ พายกันสองฝีพาย จนพลบค่ำ ท่านให้จอดเรือพักที่วัดๆหนึ่ง เพื่อขึ้นไปพักค้างแรม ด้านบนวัด ส่วนลูกศิษย์นอนเฝ้าเรือคนหนึ่ง
พอรุ่งสาง ลูกศิษย์ที่เฝ้าเรือ
วิ่งขึ้นไปหาท่าน แล้วเรียนว่า "อาจารย์ครับแม่ค้าขนมหวานที่พบเมื่อสายวานนี้ พายเรือตามมา แต่เมื่อไรไม่รู้ ผูกเรือเทียบกับเรือเรา อยู่ที่ท่าน้ำครับ"
ละล่ำละลักเล่าต่ออีกว่า "ผมถามเขาว่าตามมาทำไมเขาก็ไม่ตอบ แต่ขนมบูดเต็มหม้อเลย คงไม่ได้ขายเลย คงพายตามหาเรามาทั้งวัน คงมาถึงตอนดึก ผมเองคงเหนื่อย หลับไปก่อนแล้ว"
ท่านจึงหันหน้าไปหา
ศิษย์อีกคนที่อยู่ด้วย แล้วพูดว่า
"อ้าวเราลืมไปเลย เองไปว่าบทถอน แล้ววักน้ำใส่หัวเรือ แล้วใสเรือเขาให้กลับไปซ๊ะ ป่านนี้คนที่บ้านคงห่วงกันแย่แล้ว"
จากนั้นท่านก็พูดเชิงพรำบ่น "กะว่าจะแกล้งดัดนิสัย ให้พายตามสักชั่วโมงสองชั่วโมง คงพายตามพวกเอ็งไม่ทัน เราเลยไม่เห็น ทำให้พากันลืม น่าสงสาร"
อาจารย์ฟ้อน ท่านเป็นคนมีเมตตา กรุณา ต่อผู้อื่นมากๆ แต่ที่ว่ากันว่าท่านมีเมียมาก
เพราะเหตุทำนองนี้ คือหากใครดูถูกท่าน มักจะถูกดัดนิสัยให้ได้อาย จะได้เข็ดหลาบ ท่านไม่ได้เอามาเป็นภรรยาจริงๆ แต่ลูกศิษย์มักพูดเย้าเล่นกันว่า
วันนี้ไปที่นั่นมา ที่นี่มา
อาจารย์ได้เมียมาอีกคนหนึ่ง
หรือสองคนแล้ว ลูกศิษย์มักมาคุยกัน แล้วนำมานับรวมเล่นๆ พูดกันไปเรื่อย ว่าถ้าท่านจะเอาเป็นเมีย ก็คงเกินร้อยไปเลย จนกลายเป็นสมญานาม ของท่านแบบกลายๆ ไปโดยปริยาย
****************************************ปลาย******************************* เรียนทั้งหมดของผู้เข้าชมที่รัก! ผมขอบคุณมากสำหรับการเยี่ยมชมบล็อกของฉัน! ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อหาเนื้อหาที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดสำหรับทุกท่าน! กรุณามีความโชคดี! จาก Puthsasna!!! :)
0 comments: